ศึกษาความเป็นไปได้และจัดทำแนวทางสู่การต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์จากฐานชีวภาพ
by เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว
ศึกษาความเป็นไปได้และจัดทำแนวทางสู่การต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์จากฐานชีวภาพ | |
BEDO Product Design | |
เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว | |
2563-11-12 | |
สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | |
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ“สพภ.” เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจจากทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืน ส่งเสริม และสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และธุรกิจชีวภาพด้วยการใช้สหวิทยาการเพื่อยกระดับ และพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งมีแนวทางการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมในยุคโลกาภิวัฒน์ นอกจากนี้แล้ว เนื่องจากปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นมีความสลับซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องมีความรอบคอบโดยคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ต้องมีความรอบรู้และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งต้องผ่านกระบวนการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน ตั้งแต่กระบวนการร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมสรุป กระบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน การรวมตัวของประชาชนที่หลากหลายทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด องค์ความรู้ และต่อเชื่อมประสบการณ์อย่างกว้างขวาง เป็นการเสริมพลังซึ่งกันและกัน สร้างโอกาสให้ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องสร้างการบริหารจัดการร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งของชุมชนฐานราก ทำให้ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิหน้าที่ และบทบาทในการจัดการทรัพยากรสาธารณะมากขึ้น ส่งผลให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง เกิดการประสานงานงบประมาณระหว่างองค์กรทั้งในแนวราบกับท้องถิ่น/หน่วยงานอื่น ๆ และในแนวดิ่งกับส่วนกลาง การศึกษาครั้งนี้ มีพื้นที่เป้าหมายในการพัฒนา 2 พื้นที่ด้วยกัน คือ พื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด และพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า โดยจากการวิเคราะห์ถึงลักษณะของพื้นที่ ผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ คุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition) และโอกาสทางการตลาด พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด คือ กะปิคลองโคน ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า คือ มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า โดยมีรายละเอียดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังนี้ การพัฒนากะปิคลองโคน คุณค่าสินค้าหรือบริการ (Value Proposition VP) = ของฝากจากชายเลนมนต์เสน่ห์แห่งแม่กลอง ในปัจจุบันพื้นที่ดอนหอยหลอดมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น มีกิจกรรมนั่งเรือชมธรรมชาติพื้นที่ป่าชายเลน กิจกรรมปลูกป่าชายเลน นอกจากกิจกรรมแล้วนักท่องเที่ยวสามารถซื้อของฝาก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนได้ด้วย โดยของฝากที่ขึ้นชื่อคือ กะปิคลองโคน เป็นกะปิที่ทำจากเคย ซึ่งมีในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ดำรงชีวิตอยู่ใกล้ผิวทะเลโดยไม่จมลงไป หรืออาศัยอยู่บริเวณรากไม้ตามป่าชายเลน เช่น ต้นโกงกาง แสม ลำพู เป็นสัตว์มีมากทุกฤดูกาล พื้นที่ดอนหอยหลอดเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำบริเวณปากแม่น้ำแม่กลองและชายฝั่งทะเล ดอนหอยหลอดเป็นสถานที่ที่พบหอยหลอดจำนวนมาก เป็นพื้นที่ที่เกิดจากการทับถมของตะกอนปากแม่น้ำและตะกอนจากทะเล ทำให้พื้นบริเวณดอนหอยหลอดเป็นแหล่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหาร และมีความหลากหลายของทรัพยากรชีวภาพทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งพบพันธุ์ไม้ป่าชายเลนที่มีความสำคัญ 13 ชนิด และกลุ่มสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังจำนวนมากถึง 42 ชนิด ดังนั้นดอนหอยหลอดจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชที่ได้จากวัตถุดิบทางธรรมชาติ รวมไปถึงกะปิคลองโคน กะปิคลองโคน จึงเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในพื้นที่แม่กลอง โดยจะใช้เคยจากธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ กะปิเคยคลองโคนจึงมีความหอมอร่อยรสชาติกลมกล่อม เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition) ของพื้นที่และผลิตภัณฑ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ จึงเน้นไปที่ตราสินค้า ซึ่งใช้สีเดียวกับสีของกะปิ เพื่อใช้สีเป็นสิ่งเน้นย้ำสินค้า (Generic Product Property Branding) และสะท้อนถึงพื้นที่ที่มีความเป็นธรรมชาติของคลองโคน ส่วนอื่นที่ประกอบในรูปทำหน้าที่เป็นองค์ประกอบที่สะท้อนถึงหน้าที่หลักของกะปิ (Auxiliary Functional Branding) สำหรับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์นั้น หลักการสำคัญคือ ต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ ช่วยให้เก็บรักษากะปิได้นานโดยไม่เสื่อมคุณภาพ และเหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพควบคู่ไปกับรูปลักษณ์ของบรรจุภัณฑ์ จากการศึกษาสภาพพื้นที่ดอนหอยหลอด การรับฟังความคิดเห็นของตัวแทนในพื้นที่ ความเห็นจากการประชุมกลุ่มย่อยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และการสำรวจภาคสนาม คณะผู้วิจัยจึงเสนอว่า ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารประชาสัมพันธ์ เพื่อให้กะปิคลองโคนเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสารเป็นหลัก จึงควรมีการทำแหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกะปิคลองโคน เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจ โดยเนื้อหาควรครอบคลุมทั้งประวัติ คุณสมบัติเด่น และมีวิธีการทำอาหารโดยใช้กะปิคลองโคน คณะผู้วิจัยจึงจัดทำช่องทางการประชาสัมพันธ์ 3 ช่องทาง ประกอบด้วย 1) เว็ปเพจ กะปิคลองโคน (Khlong Khon’s Shrimp Paste) 2) เว็ปไซด์ กะปิคลองโคน พื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด และ 3 เอกสารประชาสัมพันธ์ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของชุมชน การเจรจาจับคู่ธุรกิจ ช่องทางการตลาดเพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้า นอกจากนี้แล้วผู้ประกอบการควรได้รับการฝึกฝนให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ มาช่วยในการทำตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค (Facebook) ไลน์ (Line) อินสตาแกรม (Instagram) รวมถึงการชำระเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการติดต่อกับบริษัทขนส่งเพื่อนำกะปิไปส่งให้ลูกค้านอกพื้นที่ได้ อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่ควรระวังประการหนึ่งคือ ผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของกะปิคลองโคน พบว่า มีโซเดียมในระดับสูงมาก กะปิเพียง 1 ช้อนโต๊ะมีปริมาณโซเดียมคิดเป็นประมาณร้อยละ 97 ของปริมาณที่บริโภคต่อวัน ดังนั้น จึงควรมีการส่งเสริมให้ใช้กะปิในการปรุงอาหารในปริมาณที่เหมาะสม โดยอาจสื่อสารควบคู่ไปกับการแสดงวิธีทำอาหารโดยใช้กะปิคลองโคน นอกจากนี้แล้ว ในระยะยาว ควรจะพัฒนากะปิที่มีโซเดียมต่ำสำหรับกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพออกมาทำตลาด นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนจากฐานชีวภาพพื้นที่ชุ่มน้ำดอนหอยหลอด มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของชุมชนมาใช้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้มีความยั่งยืนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีคณะกรรมการชุมชนหรือคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ดำเนินการ กิจกรรมการพัฒนาชุมชนจากฐานชีวภาพ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลา (แผนพยากรณ์งบการเงินระยะเวลา 10 ปี) คือ ช่วงที่ 1 ระยะเวลา 3 ปี ช่วงที่ 2 ระยะเวลา 3 ปี และช่วงที่ 3 ระยะเวลา 4 ปี แบ่งรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ร้อยละ 5, ร้อยละ 10 และร้อยละ 15 ของผลกำไรสุทธิ มาดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรฐานชีวภาพในพื้นที่ให้คงอยู่ตลอดไป การพัฒนามะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า คุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition: VP) = ผลิตภัณฑ์ที่ถูกคัดสรรโดยธรรมชาติ และผ่านการดูแลจากเกษตรกรที่เข้าใจในระบบนิเวศบนฐานชีวภาพของท้องถิ่นกว่า 4 ทศวรรษที่คุ้งบางกะเจ้าถูกดูแลเป็นพื้นที่สีเขียวเขตอนุรักษ์เกษตรกรรม จึงคงความอุดมสมบูรณ์ของความหลากหลายบนฐานชีวภาพ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ทำให้มะม่วงน้ำดอกไม้ของคุ้งบางกะเจ้าผสานเข้ากับวิถีชีวิต ภูมิปัญญา วัฒนธรรมความสัมพันธ์ไทย-มอญ เป็นที่ทราบกันดีว่าคุ้งบางกะเจ้าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่มีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนหย่อนใจเดินชมตลาดน้ำ หรือปั่นจักรยานชมธรรมชาติ และในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมของทุกปี มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าจะออกผลผลิตมาให้นักท่องเที่ยวได้ชิม เนื่องจากพื้นที่นี้มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นคุ้งน้ำขนาดใหญ่อยู่ใกล้บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมต่อกับอ่าวไทย ส่งผลให้ระบบนิเวศมี 3 น้ำ คือ น้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย เป็นผลให้มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้ามีรสหวานหอมเป็นธรรมชาติ มีขนาด 3-4 ผลต่อ 1 กิโลกรัม และวัดความหวานได้ 22 องศาบริกซ์ ขณะที่มะม่วงน้ำดอกไม้ในจังหวัดอื่นวัดความหวานได้เพียง 16-18 องศาบริกซ์เท่านั้น พันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า คือ พันธุ์เขียวนวล หรือพันธุ์น้ำดอกไม้พระประแดง มีลักษณะพิเศษที่ผลนั้นอวบอูม เต่งตึง เปลือกบาง พอผลสุกจะมีสีเหลืองอมเขียว เนื้อแน่น เมล็ดลีบ กลิ่นหอม รสหวานสดชื่น นิยมรับประทานคู่กับข้าวเหนียวมูน หรือรับประทานสด จนได้รับการกล่าวขานว่า “มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าหวานที่สุดในประเทศไทย” ด้วยเหตุนี้ มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ หรือ THAI GEOGRAPHICAL INDICATION (GI) ดังนั้นคุณค่าที่นำเสนอของ มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกคัดสรรโดยธรรมชาติ และผ่านการดูแลจากเกษตรกรที่เข้าใจในระบบนิเวศบนฐานชีวภาพของท้องถิ่น ทำให้มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า เป็นสินค้าที่มีคุณค่าในตัวเอง เหมาะแก่การเป็นผลไม้หวาน ของฝาก หรือจัดรับแขกบ้านใครไปมา เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าที่นำเสนอ (Value Proposition) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ การออกแบบผลิตภัณฑ์ จึงเน้นไปที่ความทันสมัยของตราสินค้า แต่ยังสะท้อนความเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นธรรมชาติ โดยวงกลมหมายถึงพื้นที่ที่มีความสมดุล เท่าเทียมกันในทุกด้าน สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ รูปมะม่วงเป็นตัวแทนของมะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า (หากเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็สามารถเปลี่ยนรูปภายในได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนกรอบ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าจดจำตราสินค้าเชิงพื้นที่ หรือ Destination Brand ได้ง่ายขึ้น) ส่วนสีเขียวหมายถึงสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ สำหรับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์นั้น หลักการสำคัญคือ ต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำจากวัสดุธรรมชาติ สามารถย่อยสลายได้ จึงเลือกใช้กระดาษคราฟท์ที่สามารถนำมารีไซเคิลได้ มาเป็นบรรจุภัณฑ์ เพราะนอกจากจะสะท้อนถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสะท้อนถึงความเรียบง่ายซึ่งเป็นเนื้อแท้ของธรรมชาติอีกด้วย จากการศึกษาสภาพพื้นที่ การรับฟังความคิดเห็นของตัวแทนในพื้นที่ ความเห็นจากการประชุมกลุ่มย่อยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และการสำรวจภาคสนาม คณะผู้วิจัยจึงเสนอว่า ควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสารเป็นหลัก จึงควรมีการทำแหล่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าเอาไว้ เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจ โดยเนื้อหาควรครอบคลุมทั้งประวัติ คุณสมบัติเด่น คุณค่าของคุ้งบางกะเจ้า และรายละเอียดของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง เพื่อให้มีช่องทางในการติดต่อ คณะผู้วิจัยจึงจัดทำช่องทางการประชาสัมพันธ์ 3 ช่องทาง ประกอบด้วย 1) เว็ปเพจ ชื่อ Bangkachao Fruit 2) เว็ปไซด์ มะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้า และ 3 เอกสารประชาสัมพันธ์ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของชุมชน การเจรจาจับคู่ธุรกิจ ช่องทางการตลาดเพื่อเป็นแหล่งกระจายสินค้า นอกจากนี้แล้ว เกษตรกรควรได้รับการฝึกฝนให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มาช่วยในการทำตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค (Facebook) ไลน์ (Line) อินสตาแกรม (Instagram) รวมถึงการชำระเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการติดต่อกับบริษัทขนส่งเพื่อนำกะปิไปส่งให้ลูกค้านอกพื้นที่ได้ เมื่อมะม่วงน้ำดอกไม้คุ้งบางกะเจ้าเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว จึงทำการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อื่นต่อไป ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของมะม่วง คือ การรับรองคุณภาพ โดยคณะกรรมการควบคุมคุณภาพ ซึ่งควรประกอบไปด้วยตัวแทนของชุมชนและผู้เชี่ยวชาญที่เข้าไปประเมินสวนมะม่วงในพื้นที่ก่อนจะให้ตรารับรองในแต่ละฤดูกาลเพาะปลูก นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยได้เสนอแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนจากฐานชีวภาพพื้นที่คุ้งบางกะเจ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของชุมชนมาใช้ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้มีความยั่งยืนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีคณะกรรมการชุมชนหรือคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชนเป็นผู้ดำเนินการ กิจกรรมการพัฒนาชุมชนจากฐานชีวภาพ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะเวลา (แผนพยากรณ์งบการเงินระยะเวลา 10 ปี) คือ ช่วงที่ 1 ระยะเวลา 3 ปี ช่วงที่ 2 ระยะเวลา 3 ปี และช่วงที่ 3 ระยะเวลา 4 ปี แบ่งรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน ร้อยละ 5, ร้อยละ 10 และร้อยละ 15 ของผลกำไรสุทธิ มาดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนของทรัพยากรฐานชีวภาพในพื้นที่ให้คงอยู่ตลอดไป The objective of this project was to conduct feasibility study of biodiversity-based product in Don Hoi Lot, Samut Songkhram and Bangkachao, Samut Prakarn. The study began with documentary research on social, economic, cultural, and ecological background of the areas to gain understanding of the area’s overall potential. Then samples of existing products were examined. On-site touriss surveys were conducted to gather information of perceptions and expectations of potential customers. Meetings with local government and communities representatives were also conducted to provide opportunity for them to conduct SWOT analysis, share their ideas, and develop operational plan. It was found that Don Hoi Lot, Samut Songkhram had strategic positioning advantage as the mangrove-based product. Klong Kone Shrimp pasted were chosen as the pilot product for further development. Based in nutritional and marketing researches, the product was developed further into power shrimp paste. This new product aims to cater younger customer segments in urban area who desire for convenient use of shrimp paste. They were also interested in product that can be stored in limited space as many of these customers resided in condominiums. Once the product development was completed, a workshop was conducted to allow local participants to learn the process of processing shrimp pasted in to shrimp paste power. For Bangkachao, Samut Prakarn. the same process of study was repeated. It was found that the key to product positioning in this area should be based on “Fresh+Green” combination. Instead of developing a new product, however, it was proposed that Nam Dok Mai Mango should be promoted. To enhance its market value, the geographical certification procedure should be developed. In addition, since local gardeners did not how proper know how on how to grow such mangoes. Therefore, the workshop with local participants focused on equipping them with necessary skills to ensure that they can grow and look after their mango tress properly. This will ensure that their products will meet the required certification standard. |
|
ศึกษาความเป็นไปได้
การสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์จากฐานชีวภาพ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) BEDO |
|
รายงานวิจัย | |
Text | |
application/pdf | |
tha | |
เอกสารฉบับนี้สงวนสิทธิ์โดยผู้ให้ทุน ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือนำไปเผยแพร่ตัดต่อโดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร | |
บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงเอกสารนี้ได้ | |
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) | |
https://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/933 |
Files in this item (CONTENT) |
|
View no fulltext.doc ( 21.50 KB ) |
This item appears in the following Collection(s) |
|
Collections
|