การใช้ศักยภาพของอุดมศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับการเรียนรู้และการทำงานสำหรับผู้สูงอายุ
by แก้วขวัญ ตั้งติพงศ์กูล
การใช้ศักยภาพของอุดมศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับการเรียนรู้และการทำงานสำหรับผู้สูงอายุ | |
Systematic Research on the use of Higher Education, Science, Research, and Innovation for Learning Enhancement and Employment for the Elderly | |
แก้วขวัญ ตั้งติพงศ์กูล | |
2022-11-09 | |
สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
|
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2562 สถานการณ์สัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น และประชากรวัยทำงานที่ลดลง ทำให้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนประชากรวัยแรงงาน ส่งผลให้ประชากรวัยแรงงานมีภาวะกดดันในการสร้างผลิตภาพให้กับประเทศมากขึ้นเพื่อรักษาผลิตภาพในภาพรวมให้เท่าเดิม วัตถุประสงค์และขอบเขตของงานศึกษาประกอบด้วย 1) ศึกษาลักษณะและความต้องการด้านการทำงานของผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) ที่เป็นแรงงานนอกระบบที่เจาะลึกถึงกลุ่มผู้สูงอายุในแต่ละกลุ่มที่มีบริบทที่แตกต่างกัน 2) ศึกษาความต้องการและการวางแผนการทำงานเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุของประชากรวัยก่อนสูงอายุ (ช่วงอายุ 40 ถึง 59 ปี) 3) วิเคราะห์ลักษณะอาชีพที่มีความเหมาะสมกับผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบในแต่ละกลุ่ม และแนวโน้มลักษณะอาชีพในอนาคตที่เหมาะสมหรือเป็นโอกาสในการทำงานของผู้สูงอายุ 4) วิเคราะห์ปัจจัยส่งเสริม/สนับสนุน การทำงานของผู้สูงอายุ และปัจจัยที่ช่วยเตรียมความพร้อมของประชากรวัยก่อนสูงอายุ ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะและการปรับเปลี่ยนแนวคิดและพฤติกรรมให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียนรู้และการทำงานในวัยสูงอายุ รวมถึงการวิเคราะห์บทบาทของอุดมศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อยกระดับการเรียนรู้และการทำงานของกลุ่มเป้าหมาย และ 5) ออกแบบระบบและกลไกการขับเคลื่อน การใช้อุดมศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อยกระดับการเรียนรู้และการทำงานที่มีความเหมาะสมกับผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบแต่ละกลุ่ม และการเตรียมความพร้อมประชากรก่อนวัยสูงอายุ รวมถึงการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม
วิธีการศึกษาประกอบด้วย 1) การเก็บแบบสอบถามเพื่อศึกษาลักษณะและความต้องการด้านการทำงานของผู้สูงอายุ โดยเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.1) แรงงานนอกระบบที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ในแต่ละกลุ่มที่มีบริบทที่แตกต่างกัน 1.2) แรงงานในระบบช่วงอายุ 40 ถึง 59 ปี และ 1.3) แรงงานนอกระบบช่วงอายุ 40 ถึง 59 ปี จากพื้นที่ตัวแทนจาก 4 ภาค (ภาคละ 2 จังหวัด) กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,500 คน ข้อมูลจากการเก็บแบบสอบถามจะนำมาใช้เพื่อ ก) วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของลักษณะอาชีพที่มีความเหมาะสมกับผู้สูงอายุที่เป็นแรงงานนอกระบบในแต่ละกลุ่ม และแนวโน้มลักษณะอาชีพในอนาคตที่เหมาะสมหรือเป็นโอกาสในการทำงานของผู้สูงอายุ ข) วิเคราะห์ปัจจัยส่งเสริม/สนับสนุน การทำงานของผู้สูงอายุและปัจจัยที่ช่วยเตรียมความพร้อมของประชากรวัยก่อนสูงอายุ ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะและการปรับเปลี่ยนแนวคิดและพฤติกรรมเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการเรียนรู้และการทำงานในวัยสูงอายุ 2) สังเคราะห์งานวิจัยด้านนโยบายการจ้างงาน และการขยายการจ้างงานผู้สูงอายุในประเทศไทย และต่างประเทศ เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีในประเทศหรือต่างประเทศในด้านการส่งเสริมการทำงานในวัยสูงอายุที่เป็นการทำงานนอกระบบแรงงาน และ 3) การสัมภาษณ์เชิงลึก และจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้อง ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคชุมชน
ผลการศึกษาในกลุ่มอายุ 60 ปีที่เป็นแรงงานนอกระบบ พบว่า ในระดับพื้นที่ระหว่างในเมืองและชนบท ไม่ได้ส่งผลต่อทัศนคติที่คาดว่าจะแตกต่างกัน เว้นแต่ เรื่องของทัศนคติที่ว่า ผู้สูงอายุสามารถรับความเครียดได้ ซึ่งในเมืองและชนบทอาจมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และหากแบ่งตามประเภทของแรงงานนอกระบบ พบว่า ทัศนคติเรื่องผู้สูงอายุสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี มีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มของแรงงานนอกระบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ บทบาทของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ในการเข้ามาหนุนเสริมกลุ่มแรงงานนอกระบบภาคเกษตรในชนบทที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป หากสามารถดำเนินการโดยผ่านมีโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่เริ่มต้นในการบูรณาที่ดีโดยมีมหาวิทยาลัยในพื้นที่เป็นหน่วยบูรณาการโครงการ (System Integrator) การจ้างงาน การฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่มีความครอบคลุม
ในประเด็นต่าง ๆ ตามปัญหาและความต้องการของชุมชน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมในการดำเนินการในพื้นที่ ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมในหลากหลายช่วงวัย ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงผู้สูงอายุ แต่หากนำมาปรับใช้กับสำหรับคนกลุ่มนี้ ในด้านการพัฒนาส่งเสริมอาชีพอาจจะต้องเน้นการพัฒนาให้มีความยั่งยืน ต่อยอด หรือการเพิ่มผลผลิต ให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะในกลุ่มนี้อาจจะไม่มีความต้องการในการเปลี่ยนงาน หรือสร้างอาชีพใหม่ โดยนำองค์ความรู้ต่าง ๆ เทคนิควิธีการ รวมถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับช่วงอายุด้วย โดย อว.ต้องมีการเพิ่มความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีโครงการในการดูแลและส่งเสริมด้านอาชีพด้านการเกษตรที่ชัดเจน
ในภาพรวมของกลุ่มแรงงานนอกระบที่มีอายุน้อยกว่าหกสิบปี พบว่า มีปัจจัยด้านการศึกษาที่แตกต่างกันส่งผลต่อคะแนนทัศนคติ และระหว่างคนเมืองและชนบท มีคะแนนทัศนคติในบางเรื่องที่แตกต่างกันคือ การรับความเครียดจากการทำงาน การปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงานและการไม่เป็นปัญหาต่อองค์กร ในเชิงพื้นที่ และอว.ควรปรับปรุงโครงการพัฒนาทักษะกำลังคนของประเทศ (Reskill/Upskill/Newskill) เพื่อจะได้หลักสูตรในการเสริมสร้างทักษะเพื่อรองรับการทำงานเพิ่มทักษะการทำงานในกลุ่มคนในช่วงอายุนี้ |
|
สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์
ผู้สูงอายุ แรงงานนอกระบบ |
|
รายงานวิจัย | |
Text | |
application/pdf | |
tha | |
เอกสารฉบับนี้สงวนสิทธิ์โดยผู้ให้ทุน ห้ามทำซ้ำ คัดลอก หรือนำไปเผยแพร่ตัดต่อโดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร | |
บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงเอกสารนี้ได้ | |
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ | |
https://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/1134 |
Files in this item (CONTENT) |
|
View No fulltext.docx ( 12.11 KB ) |
This item appears in the following Collection(s) |
|
Collections
|