โครงการที่ปรึกษา(Consultancy projects)https://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/6222024-03-28T23:37:59Z2024-03-28T23:37:59Zการศึกษาเพื่อหาแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ ตำบลหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี และพื้นที่โดยรอบเขตควบคุมมลพิษในรัศมีไม่เกิน 10 กิโลเมตรธงชัย ขนาบแก้วhttps://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/11662023-02-03T20:00:25Z2023-01-20T00:00:00Zการศึกษาเพื่อหาแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ ตำบลหน้าพระลาน จังหวัดสระบุรี และพื้นที่โดยรอบเขตควบคุมมลพิษในรัศมีไม่เกิน 10 กิโลเมตร
ธงชัย ขนาบแก้ว
สามารถเข้าดูเนื้อหาได้ที่ www.pcd.go.th/publication/28032
2023-01-20T00:00:00Zจ้างที่ปรึกษาการจัดทำข้อเสนอแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่กรรมสิทธิ์ (Privately Protected Areas : PPA และ Private-Land Conservation Areas : PLCA)สุเพชร จิรขจรกุลhttps://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/11402022-12-06T20:00:14Z2022-12-06T00:00:00Zจ้างที่ปรึกษาการจัดทำข้อเสนอแนวทางการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่กรรมสิทธิ์ (Privately Protected Areas : PPA และ Private-Land Conservation Areas : PLCA)
สุเพชร จิรขจรกุล
โครงการจัดทำข้อเสนอแนวทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ กรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นส่วนในการสนับสนุนประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการศึกษาวิจัยในด้านแรงจูงใจ กลไกด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน กลไกด้านสังคม วัฒนธรรม และสุขภาพ กลไกด้านสิ่งแวดล้อม และกลไกด้านกฎหมาย สนับสนุนต่อการขยายตัวการใช้ประโยชน์พื้นที่กรรมสิทธิ์ในเชิง อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพตามนโยบายสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ สพภ. ในการส่งเสริมให้ประชาชนอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ มีวิสาหกิจชุมชน 16 แห่งที่กระจายพื้นที่ทั่วจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกไผ่มีทั้งในรูปแบบ สปก. คทช. หรือ นส4
โดยมีวิสาหกิจชุมชนวัดโป่งคำ ต.ดู่พงษ์ อ.สันติสุข จ.น่าน เป็นศูนย์กลางของการประสานงานพื้นที่ ซึ่งเข้าเกณฑ์ 6 ประเด็นในการคัดเลือกพื้นที่นำร่อง ได้แก่ (1) ศักยภาพด้านทรัพยากรความหลากหลายทาง ชีวภาพ (Biodiversity) (2) ศักยภาพทางกายภาพของพื้นที่ (Geographical) (3) ศักยภาพและความพร้อมทางเศรษฐกิจและการพาณิชย์ ผลิตภัณฑ์และบริการ (Product and Service) (4) ศักยภาพด้านบุคลากร (People) (5) ศักยภาพด้านการจัดการและการมีส่วนร่วม (Management and Cooperation) และ (6) ศักยภาพด้านเทคโนโลยี (Technology)
พื้นที่นำร่องมีขนาดพื้นที่โดยรวมกว่า 20,000 ไร่ ได้ดำเนินการปลูกป่าไผ่ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ใน ทางการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ในทางผลิตภัณฑ์ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนวิสาหกิจเพื่อสังคม (SE) ตาม พรบ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล (ESG) รวมถึงการพัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) และนำแนวคิดด้านการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่กรรมสิทธิ์อยู่บนพื้นฐานของกรอบการพัฒนาและอนุรักษ์เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ร่วมกับ ทฤษฎีประสิทธิภาพแบบพาเรโต (Pareto Efficiency) เพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้และการตัดสินใจด้านการลงทุนให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด (Pareto Optimally) นำไปสู่การระดมทุนในระดับสากล ทั้งในรูปแบบ Foreign Direct Investment (FDI) และ crowdfunding เพื่อเชื่อมโยงกับสินทรัพย์ที่มีตัวตน และสินทรัพย์ดิจิทัล นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการและมูลค่าโดยรวมของโครงการส่งเสริมการปลูกไผ่เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และการใช้ผลิตภัณฑ์จากไผ่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานชีวภาพของเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนจังหวัดน่าน เกิดการพัฒนารูปแบบการขับเคลื่อนกิจกรรมเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (SE) ที่ดำเนินธุรกิจที่มีผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้ได้รับตรารับรองผลิตภัณฑ์และบริการความหลากหลายทางชีวภาพตามมาตรฐาน ISO/TS331 ในอนาคตได้; The project offers guidelines for the conservation and utilization of biodiversity in proprietary areas, which contributes to supporting local people in participating in biodiversity conservation. The research is conducted to analyze the motivation from various driving mechanisms including economics, finance, social, cultural, health, environmental and legal the support the expansion of biodiversity conservation from privately owned lands and areas in accordance with the policy of the biodiversity economic development agency (public organization) or BEDO, to encourage people to conserve and utilize biodiversity more consciously, and in the pilot project, there are 16 community enterprises participating throughout Nan province with their land privilege in various forms of authorization.
A community enterprise in Wat Pong Kham, Du Phong, Santisuk, Nan province, is the center of pilot project coordination, which meets 6 criteria for the selection of pilot areas: (1) biodiversity potential, (2) physical potential of the area (geographical), (3) economic and commercial potential and readiness (products and services), (4) people potential, (5) management and cooperation potential, and (6) technology potential.
The pilot area of more than 20,000 rai, has been carried out to grow bamboo forests for conservation and product utilization, which will lead to the drive of social enterprises (SE) in accordance with the social enterprise Promotion Act B.E. 2562 (2019) that help constitute the environment society and good governance (ESG) as well as the development towards a bio- circular-green economy (BCG Model) and the concept of conservation and utilization of biodiversity in proprietary areas, based on a development and conservation framework to increase economic value from a bio-based development together with Pareto efficiency theory to analyze feasibility and investment decisions for economic benefits. Pareto Optimally leads to international funding both in the form of Foreign Direct Investment (FDI) and crowdfunding to link up with tangible and digital assets. This will lead to an increase in values of products and services and the overall value of bamboo cultivation promotion projects to conserve biodiversity, and also the use of bamboo products to drive the bio-based economy of the Nan provincial community enterprise network. Developing a model to drive activities as a social enterprise (SE) will conduct biodiversity business practices to obtain the certification of biodiversity products and services in accordance with ISO/TS331 in the future.
2022-12-06T00:00:00Zศึกษาแนวทางการกำหนดค่าอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการประเมินศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับมาตรการ (ระยะที่ 3)บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัยhttps://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/11372022-11-10T20:00:19Z2022-11-10T00:00:00Zศึกษาแนวทางการกำหนดค่าอัตราคิดลด (Discount Rate) ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการประเมินศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับมาตรการ (ระยะที่ 3)
บัณฑิต ลิ้มมีโชคชัย
ประเทศไทยได้ยื่นสัตยาบันสารเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีส (Paris Agreement) เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559 รวมถึงการยื่นข้อเสนอการมีส่วนร่วมของประเทศในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ (Nationally Determined Contribution หรือ NDC) โดยกําหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 – 25 จากทุกภาคส่วน (Economy-Wide) ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030)
ข้อกำหนดภายใต้ความตกลงปารีส ในข้อ 4 ได้กําหนดให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมกันตั้งเป้าหมายที่จะมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงสุดของโลก (Global Peaking Emissions) โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไป ได้ เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในระยะยาว โดยต้องควบคุมระดับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส และมีความมุ่งมั่นที่จะควบคุม ระดับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกก่อนยุคอุตสาหกรรม (Pre-Industrial Levels) ภายในปี พ.ศ. 2643 (ค.ศ. 2100) และให้ประเทศภาคี นำส่งเป้าหมายระดับประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (NDC) ทุก 5 ปี และให้ดำเนินมาตรการ ลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น
ดังนั้น การกําหนดทิศทางการดำเนินนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวช่วยให้ สามารถคาดการณ์ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงสุดของประเทศในอนาคต รวมถึงทำให้หน่วยงานหลักด้านนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ มีแนวทางในการกําหนดนโยบายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถบูรณาการนโยบายระหว่างหน่วยงานหลักในสาขาต่าง ๆ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น การศึกษารูปแบบการกําหนดค่า Discount Rate ที่เหมาะสม และ สอดคล้องกับสภาพโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ รวมถึงวิธีการ คาดการณ์รูปแบบเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศในเชิง SSPs รวมถึงมีความสอดคล้องกับ โครงสร้างทางเศรษฐกิจ นโยบาย ในระดับภาคส่วนและระดับประเทศและการประเมินต้นทุนส่วนเพิ่ม(Marginal Abatement Cost หรือ MAC) ที่จะนํามาใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจก และที่สนับสนุน Net zero scenarios นั้น จะเป็นข้อมูลองค์ประกอบที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับหน่วยงานหลักด้านนโยบาย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแต่ละสาขา เพื่อใช้สนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้น ในการจัดทำแผนมาตรการ และนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศต่อไป
การศึกษานี้มีเป้าหมายเพื่อจัดทำข้อเสนอ รูปแบบ และวิธีการกําหนดค่า Discount Rate ที่มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศในเชิง SSPs รวมถึงมีความสอดคล้องกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นโยบาย และระดับมาตรการที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอนเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ หรือ Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) และการผลิตพลังงานชีวภาพร่วมกับการดักจับ และกักเก็บคาร์บอน หรือ Bioenergy with Carbon Capture and Storage (BECCS) ภายใต้มาตรการภาคการผลิตพลังงานที่สนับสนุน Net zero scenarios; According to the provisions under the Paris Agreement in Article 4, Parties aim to reach global peaking of greenhouse gas (GHG) emissions as soon as possible, so as to achieve the goal of limiting global temperature increase to well below 2 degrees Celsius and pursue efforts to limit the increase to 1.5 degrees above pre-industrial levels in 2100. The Paris Agreement requires all Parties to put forward their best efforts through the “Nationally Determined Contributions” (NDC) and to strengthen these efforts in the years ahead.
Hence, setting the long-term climate policy framework can reducing the GHG emissions as well as the probable peak year. The national focal point can, furthermore, integrate the policies from the relevant agencies to obtain the effective direction in GHG emissions reduction. The accurate determination of the discount rate and the Marginal Abatement Cost in accordance with the country’s socio-economic structure is necessary in preparation of supports to the relevant agencies.
The objective of this study is to propose the appropriate discount rate in line with the shared socio-economic pathways of Thailand and the mitigation technologies such as the Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) and Bioenergy with Carbon Capture and Storage (BECCS) to support the net zero emissions targets of Thailand.
2022-11-10T00:00:00Zทวนสอบคาร์บอนฟุตปริ้นท์องค์กร (CFO) สำหรับโรงไฟฟ้าหนองแค 2หาญพล พึ่งรัศมีhttps://repository.turac.tu.ac.th/handle/6626133120/10572022-02-21T20:00:11Z2565-02-21T00:00:00Zทวนสอบคาร์บอนฟุตปริ้นท์องค์กร (CFO) สำหรับโรงไฟฟ้าหนองแค 2
หาญพล พึ่งรัศมี
ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน (Global Warming) เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโลกอย่างรุนแรงและต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาภาวะโลกร้อนนั้น เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่มากเกินไปสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร (Carbon Footprint for Organization) จึงเป็นแนวคิดในการคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ได้ เพื่อให้ทราบถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาทั้งทางตรงและทางอ้อม การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรเป็นการวัดผลกระทบด้านภาวะโลกร้อนที่ปล่อยจากกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของแต่ละองค์กรและคำนวณออกมาให้อยู่ในหน่วย “คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2 equivalent) ซึ่งจะทำให้ทราบว่าองค์กรนั้นมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปริมาณเท่าใด การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรนั้นยังทำให้เราทราบถึงจุดที่ทำให้เกิดผลกระทบด้านภาวะโลกร้อนที่มากที่สุดในองค์กรของเรา ทำให้เราสามารถหาแนวทางการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรเราได้อย่างตรงจุดอันจะนาไปสู่การกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นผู้ดูแลโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนของประเทศไทย ได้พัฒนาระบบการทวนสอบคาร์บอน
ฟุตพริ้นท์องค์กรของประเทศไทยขึ้นมา โดยกระบวนการทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรเป็นกระบวนการที่ทำให้มั่นใจได้ว่าการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรที่แต่ละองค์กรจัดทำนั้นสอดคล้องกับหลักการสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ ความตรงประเด็น ความครบถ้วน ความไม่ขัดแย้ง ความถูกต้อง ความโปร่งใส รวมถึงการจัดการคุณภาพข้อมูลที่ดีและเป็นไปตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของประเทศไทย สรุปผลการดำเนินงาน: คณะผู้ทวนสอบได้เข้าทวนสอบการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร ณ บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเค 2 จำกัด เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2560 มีระดับการรับรองแบบจำกัด (Limited assurance) ขอบเขตการประเมินเป็นแบบการควบคุมการดำเนินงาน (Operational Control) โดยผลการทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของบริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเค 2 จำกัด คือ ผ่าน การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร สอดคล้องกับหลักการสำคัญ 5 ประการ มีการจัดการคุณภาพข้อมูลที่ดีและเป็นไปตามแนวทางการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของประเทศไทย Nowadays, Climate change and Global Warming are regarded as problems which impact on the earth and environment drastically and more and more increasingly. Global Warming is primarily a problem of too much Greenhouse gas emissions from human activities in the atmosphere. Carbon Footprint for Organization is the concept for calculating the amount of Greenhouse gases produced from human activities for the purpose of measuring direct and indirect Greenhouse gases emission. Carbon Footprint for Organization is also a measurement method of Global Warming impacts caused by cooperate operations and gas emissions of your organization is measured in unit of CO2 equivalent. Through this measurement, the organization could find out the release amount of Greenhouse gases. THAILAND GREENHOUSE GAS MANAGEMENT ORGANIZATION (PUBLIC ORGANIZATION) is responsible for projects concerning Climate change and Global Warming in Thailand. The organization has developed Thailand CFO Verification system to assure the consistency between CFO assessment of each organization and the 5 key principles; Relevance, Completeness, Consistency, Accuracy Transparency, including good Data quality management and be in accordance with Carbon Footprint for Organization assessment in Thailand. Conclusion: On 11th July 2017, Carbon Footprint for Organization assessment of Gulf JP NK 2 Company Limited has been verified at level of Limited assurance. Moreover, operational Control is selected as an approach for assessment. In conclusion, the result of Carbon Footprint for Organization is PASS and accords with the 5 key principles. It also performs good data quality management and be in same line with the concept of Thailand Carbon Footprint for Organization assessment.
2565-02-21T00:00:00Z